เลือกรูปแบบของการลงทุนแบบใหม่ ตอบโจทย์นักลงทุนทุกเจน
ในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อ ทำให้หลายคนมองหาวิธีการเพิ่มผลตอบแทน เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับการลงทุนมากยิ่งขึ้น ซึ่งสำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่อยากจะเริ่มลงทุน แต่ยังไม่รู้ว่ารูปแบบของการลงทุนมีแบบไหนบ้าง และมีการลงทุนแบบไหนที่ให้ผลตอบแทนที่สูงบ้าง ไปดูกันเลย
รูปแบบของการลงทุนคืออะไร
การลงทุนในปัจจุบันมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งการลงทุนผ่านการทำธุรกิจ และการลงทุนทางการเงิน
การลงทุนผ่านการทำธุรกิจ คือ รูปแบบของการลงทุนที่นำเงินทุนมาประกอบกิจการเพื่อขายสินค้าหรือให้บริการแก่ลูกค้า ผลตอบแทนคือกำไรที่ได้
มาจากการขายสินค้าและให้บริการ ซึ่งการทำธุรกิจก็มีหล
ากหลายขนาด ตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ ขึ้นอยู่กับความพร้อมและเงินลงทุนของเจ้าของกิจการ
การลงทุนทางการเงิน คือ รูปแบบของการลงทุนที่นำเงินไปซื้อหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์ ซึ่งผลตอบแทนจะมาในรูปแบบของเงินปันผล ดอกเบี้ย กำไร ที่ได้จากส่วนต่างในการซื้อขาย กองทุน และสิทธิพิเศษอื่น ๆ
ทุกวันนี้คนจำนวนมากนิยมลงทุนทางการเงินมากขึ้น และมีรูปแบบของการลงทุนมากมายให้เลือกตามสไตล์ของแต่ละคน และที่สำคัญคือ ไม่จำเป็นต้องลงมือทำธุรกิจด้วยตนเอง ทำงานประจำก็สามารถลงทุนได้ เป็นการบริหารความเสี่ยงด้านการเงินด้วยการลงทุนในรูปแบบที่หลากหลาย
เลือกรูปแบบของการลงทุนทางการเงินตามสไตล์ที่เหมาะสม
การเลือกรูปแบบของการลงทุน ไม่มีแบบไหนถูกแบบไหนผิด เพราะแต่ละคนก็มีเงื่อนไขและไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินทุน ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ประสบการณ์ ความรู้ความสามารถ และที่สำคัญที่สุดคือเป้าหมายในการลงทุน โดยสามารถแบ่งการลงทุนเป็นประเภทหลัก ๆ ได้ดังต่อไปนี้
การลงทุนเชิงรุก (Active) VS การลงทุนเชิงรับ (Passive)
การลงทุนเชิงรุก เป็นการลงทุนที่ต้องอาศัยความรู้ ประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ และเวลาในการลงทุน เพราะต้องติดตามข่าวการเงิน วิเคราะห์ และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนอยู่ตลอดเวลา เช่น การซื้อขายหุ้น ตราสารหนี้ และสินทรัพย์ ที่เหมาะกับการลงทุนระยะสั้น แต่มีการเติบโตสูง ซึ่งรูปแบบของการลงทุนเชิงรุกนี้จะเน้นที่การเข้าทำกำไรระยะสั้น ที่มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูง และที่สำคัญคือ มีความเสี่ยงสูงเช่นเดียวกัน
ส่วนการลงทุนเชิงรับ เป็นรูปแบบของการลงทุนที่เน้นการลงทุนในระยะยาว มีความมั่นคงสูง เหมาะกับผู้ที่เป็นมือใหม่ ไม่ค่อยมีประสบการณ์ด้านการลงทุน หรือผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลาติดตามข่าวสารทางการเงิน ซึ่งการลงทุนในรูปแบบนี้จะมีความเสี่ยงน้อย ทำให้ผลตอบแทนก็ลดน้อยลงตาม เพราะเน้นกำไรอย่างต่อเนื่องในระยะยาวมากกว่านั่นเอง
การลงทุนเน้นเติบโต (Growth) VS การลงทุนเน้นคุณค่า (Value)
เมื่อเราเข้าสู่โลกแห่งการลงทุน เราคงจะได้ยินคำว่า “หุ้นเติบโต” กับ “หุ้นคุณค่า” ซึ่งทั้งสองแบบมีความแตกต่างกันดังต่อไปนี้
การลงทุนเน้นเติบโต เป็นการลงทุนในหุ้นหรือสินทรัพย์ที่กำลังขยายธุรกิจ หรือมีแนวโน้มในการเติบโตสูง เช่น การลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในปัจจุบัน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีโอกาสเติบโตอย่างรวดเร็ว และเน้นการขยายธุรกิจ หากว่าตัดสินใจถูกต้อง เราอาจจะได้หุ้นมาในราคาถูก และได้ผลตอบแทนที่สูงในระยะเวลาไม่นาน
การลงทุนที่เน้นคุณค่า เป็นการลงทุนในหุ้นหรือสินทรัพย์ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมั่นคง มีเงินปันผลที่แน่นอน เป็นการลงทุนในระยะยาว ที่จะต้องอาศัยระยะเวลาในการรอและได้ผลตอบแทนที่เป็นกอบเป็นกำ
รู้จักรูปแบบของการลงทุนใหม่ “การลงทุนใน SME ไทย”
การลงทุนที่เราคุ้นเคยกันทั่วไปจะเป็นการลงทุนในหุ้น หรือกองทุน แต่การลงทุนใน SME ไทย เป็นรูปแบบของการลงทุนที่แตกต่างกันออกไป เป็นการลงทุนแบบหุ้นกู้คราวด์ฟันดิงที่ออกโดย SME ซึ่ง SME ยังคงเป็นเจ้าของกิจการ แต่นักลงทุนจะเป็นเหมือนกับผู้ให้เงินกู้ โดยได้รับผลตอบแทนในลักษณะของดอกเบี้ยที่แตกต่างกันออกไป ตัวอย่างเช่น การลงทุนผ่าน Funding Society จะอยู่ที่ 8-15% ต่อปี โดยจะมีการกำหนดอายุของหุ้นกู้เอาไว้ ซึ่งเราควรจะลงทุนในหุ้นกู้ที่ตรงกับระยะเวลาที่เราต้องการ
ทำไมการลงทุนใน SME ไทยถึงน่าสนใจ?
ธุรกิจ SME ในไทยมีมากกว่า 2 ล้านแห่งทั่วประเทศ เป็นกลุ่มที่ขับเคลื่อนแหล่งงานและการลงทุนหลักของประเทศ มีอัตราการเติบโตสูง แต่ข้อจำกัดของ SME ไทยก็คือ ขาดการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และถูกมองข้ามจากนักลงทุนทางการเงิน ข้ามไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศเลย ด้วยเหตุนี้ หุ้นกู้คราวด์ฟันดิงจึงถือกำเนิดขึ้น เพื่อเป็นสื่อกลางในการพานักลงทุนที่ต้องการลงทุนในธุรกิจที่เติบโตสูง กับ SME ที่ต้องการเงินทุนในการต่อยอดธุรกิจมาเจอกัน เพื่อผลักดันให้ SME ไทยเติบโตแบบก้าวกระโดด
เหมาะกับใคร
ในมุมของนักลงทุน การลงทุนในหุ้นกู้คราวด์ฟันดิงจะมีจุดเด่นตรงที่ได้ผลตอบแทนไว รวดเร็ว และลงทุนในจำนวนเงินที่ไม่สูงมาก เหมาะกับนักลงทุนเชิงรุก ที่เน้นการลงทุนระยะสั้น และสายเติบโต ที่ต้องการลงทุนในธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตอย่างรวดเร็ว
หุ้นกู้ VS หุ้นกู้คราวด์ฟันดิงแตกต่างกันอย่างไร
หลายคนอาจจะเคยลงทุนในหุ้นกู้ หรือคุ้นเคยกับรูปแบบของการลงทุนในหุ้นกู้กันมาบ้าง แต่สำหรับหุ้นกู้คราวด์ฟันดิงอาจจะเป็นเรื่องใหม่ ซึ่งหุ้นกู้ทั้งสองแบบนี้มีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่มีความแตกต่างกันอยู่ ดังต่อไปนี้
หุ้นกู้ทั่วไป จะเป็นการออกหุ้นโดยบริษัทขนาดกลางและใหญ่ที่มีความน่าเชื่อถือ เป็นเครื่องมือในการระดมทุนในระยะยาว โดยจะจ่ายผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ย โดยผู้ออกหุ้นกู้จะมีฐานะเป็นลูกหนี้ และผู้ลงทุนในฐานะเป็นเจ้าหนี้ มีระยะเวลาการลงทุนตั้งแต่ 12 เดือนขึ้นไป
หุ้นกู้คราวด์ฟันดิง จะเป็นการออกหุ้นกู้ระดมทุนจากธุรกิจขนาดเล็กและกลางที่เพิ่งเริ่มทำธุรกิจ อาจมีความเสี่ยงสูงกว่าหุ้นกู้ทั่วไป และจำกัดปริมาณการลงทุน จุดเด่นของหุ้นกู้คราวด์ฟันดิง คือ จะมีผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูง สำหรับ SME ที่ต้องการออกหุ้นกู้คราวด์ฟันดิงจะต้องมาอยู่ใต้การกำกับของ ก.ล.ต. เช่นเดียวกัน โดยหุ้นกู้คราวด์ฟันดิงจะมีระยะเวลาลงทุนตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไป
เริ่มลงทุนในหุ้นกู้คราวด์ฟันดิง กับ Funding Societies ลงทุนง่าย สามารถเริ่มได้ใน 4 ขั้นตอน ใช้เงินลงทุนน้อย เริ่มต้นเพียง 1,000 บาท ระยะเวลาลงทุนสั้น เริ่มต้นตั้งแต่ 1 เดือนถึง 1 ปี มีบริการผู้ช่วยการลงทุนพร้อมตอบทุกคำถามผ่าน Line Official Account @fundingsocietiesth
ข้อมูลอ้างอิง
- The Bond Market vs. Debt-Based Crowdfunding: Who Wins?. สืบค้นเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2566 จาก https://www.dcsx.cw/the-bond-market-vs-debt-based-crowdfunding-who-wins/
Investment Style. สืบค้นเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2566 จาก https://www.investopedia.com/terms/i/investing_style.asp#:~:text=Investment%20style%20is%20based%20on,for%20risk%20and%20performance%20potential.



Leave a Reply