หากคุณกำลังมองหาความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว คุณก็ควรที่จะต้องเริ่มลงทุน ยิ่งเริ่มเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น และนี่คือคำแนะนำสั้น ๆ เกี่ยวกับการลงทุนประเภทต่าง ๆ
1. เงินฝากประจำ
เงินฝากประจำ คือเงินฝากธนาคารที่มี 1.) อัตราดอกเบี้ยสูงกว่าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์โดยปกติทั่วไป และ 2.) วันครบกำหนดที่ชัดเจน จะมีการลงโทษสำหรับการถอนเงินก่อนกำหนด แต่เมื่อบัญชีครบกำหนด คุณสามารถถอนเงินได้โดยไม่มีค่าปรับใด ๆ หรือคุณสามารถเลือกที่จะฝากเงินต่อไปอีกระยะหนึ่ง ยิ่งคุณฝากเงินไว้เป็นระยะนานและจำนวนมากเท่าใด คุณก็ยิ่งได้รับดอกเบี้ยมากขึ้นเท่านั้น
เงินฝากประจำถือเป็นรูปแบบการลงทุนที่ปลอดภัยและมีความเสี่ยงต่ำ สามารถเริ่มต้นได้อย่างง่ายดายและไม่ซับซ้อนที่จะทำความเข้าใจ นี่จึงเป็นเหตุที่การฝากประจำจึงถือเป็นการลงทุนที่เหมาะสำหรับผู้เริ่มลงทุน อย่างไรก็ตาม การลงทุนประเภทนี้ก็มีข้อเสียด้วยเช่นกัน เพื่อเลี่ยงการลงโทษ คุณไม่สามารถเติมเงินของคุณในระหว่างระยะเวลาที่ฝากเงินได้ ดังนั้นจึงควรตรวจสอบให้แน่ชัดว่าคุณมีเงินเพียงพอที่จะสามารถล็อคเงินจำนวนหนึ่งของคุณเก็บไว้ชั่วคราว นอกจากนี้ แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยของเงินฝากประจำอาจสูงกว่าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ทั่วไป แต่ก็ยังต่ำกว่าการลงทุนประเภทอื่น และอันที่จริงแล้วก็เป็นอัตราที่ต่ำมากจนดอกเบี้ยเงินฝากประจำมักจะสูญหายไปกับอัตราเงินเฟ้อ
2.โลหะมีค่า
ทองคำเป็นการลงทุนสุดคลาสสิกที่ยังคงได้รับความนิยมไปทั่วเอเชีย มีความคิดเห็นที่หลากหลายว่าทองคำยังคงเป็นการลงทุนที่มีศักยภาพหรือไม่ ในการอธิบายนี้ เราได้รวมข้อโต้แย้งที่แตกต่างกันสามข้อจาก Investopedia, CNN Money และ the Daily Telegraph
โดยทั่วไปแล้ว ทองคำและโลหะมีค่าจะช่วยรักษาความมั่งคั่งจากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น เป็นเวลายาวนานที่ทองคำและโลหะได้รับการพิจารณาว่าเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยในช่วงที่เกิดความวุ่นวายทางการเมืองและเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำมีความผันผวนสูงมาก นอกจากนี้ ทองคำยังไม่สามารถจ่ายรายได้ให้เจ้าของได้ ซึ่งแตกต่างไปจากตราสารหนี้และหุ้นปันผล
3. อสังหาริมทรัพย์
การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มีความคล้ายกับการลงทุนในทองคำ โดยการลงทุนทั้งสองประเภทนี้ถูกมองว่าเป็นการรักษาความมั่งคั่งจากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น โดยทั่วไปมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์จะแข็งค่าขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ทำให้อสังหาริมทรัพย์กลายเป็นที่นิยมในการลงทุนระยะยาว
อย่างไรก็ตาม ข้อเสียเปรียบหลักของการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ ค่าใช้จ่ายในการเข้าลงทุนที่สูง คุณต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ นอกจากนี้ อสังหาริมทรัพย์ยังไม่มีสภาพคล่องและต้องการการบำรุงรักษามากมาย
หากคุณมีทรัพยากรในการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ คุณมีตัวเลือก คุณสามารถถือครองอสังหาริมทรัพย์ของคุณและรอให้มูลค่าเพิ่มขึ้นก่อนที่จะขายทำกำไร หรืออีกอย่างที่คุณสามารถทำได้คือการปล่อยเช่า
การปล่อยเช่าอสังหาริมทรัพย์ของคุณเป็นวิธีที่ดีในการสร้างรายได้แบบ passive income ที่มั่นคง อย่างไรก็ตาม คุณมีความเสี่ยงที่จะลงเอยด้วยผู้เช่าที่ไม่มีความรับผิดชอบ หรือแย่ไปกว่านั้นก็คือไม่มีผู้เช่าเลย
4. ตราสารหนี้แบบ bond
เมื่อบริษัทและรัฐบาลต้องการเงินทุน เพื่อขยายหรือสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ในบางครั้ง พวกเขาสามารถเลือกที่จะไม่ขอสินเชื่อจากธนาคาร แต่เลือกที่จะออกตราสารหนี้แบบ bond แทน โดยพื้นฐานแล้ว ตราสารหนี้แบบ bondเป็นรูปแบบหนึ่งของการจัดหาเงินทุนที่บริษัท/รัฐบาลเป็นผู้กู้ ในขณะที่คุณซึ่งเป็นผู้ซื้อตราสารหนี้แบบ bondนั้นเป็นผู้ลงทุน
ตัวอย่างเช่น หากคุณซื้อตราสารหนี้แบบ bondที่มีมูลค่าที่ตราไว้ 1,000 ริงกิต อัตราดอกเบี้ย 6% และมีอายุครบกำหนด 5 ปี นั่นหมายความว่าคุณจะได้รับดอกเบี้ย 60 ริงกิตต่อปีอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 5 ปีข้างหน้า เมื่อตราสารหนี้แบบ bondของคุณครบกำหนดหลังจาก 5 ปี เงิน 1,000 ริงกิตก็จะถูกส่งคืนให้กับคุณ
ตราสารหนี้แบบ bondเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าหุ้น อย่างไรก็ตาม ความผันผวนของตราสารหนี้แบบ bondก็น้อยกว่าหุ้นเช่นกัน นอกจากนี้ เช่นเดียวกับเงินฝากประจำ แต่ต่างออกไปจากการลงทุนในทองคำ ตราสารหนี้แบบ bondให้รายได้แบบ passive income ที่มั่นคง
5. หุ้น
หุ้นเป็นส่วนแบ่งในความเป็นเจ้าของของบริษัท เมื่อคุณเป็นเจ้าของหุ้นของบริษัท คุณจะมีสิทธิในรายได้ของบริษัท ซึ่งเรียกอีกอย่างว่าเงินปันผล หุ้นเป็นที่นิยมเพราะสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าตราสารอื่น ๆ เช่น ตราสารหนี้และเงินฝากประจำ อย่างไรก็ตาม หุ้นเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงด้วยราคาที่ขึ้นและลงอย่างรวดเร็ว
ในท้ายที่สุดแล้ว หุ้นมีสองประเภทได้แก่ หุ้นปันผลและหุ้นเติบโต หุ้นเติบโตคือหุ้นในบริษัทที่เติบโตอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม หุ้นเติบโตจะไม่ได้ตอบแทนด้วยรายได้ของบริษัท เนื่องจากบริษัทที่กำลังเติบโตมักจะใช้รายได้เพื่อขยายธุรกิจของตน วิธีเดียวที่คุณจะสร้างรายได้จากหุ้นเติบโตคือการขายหุ้นของคุณ หุ้นปันผลจะตรงกันข้าม โดยหุ้นประเภทนี้จะจ่ายเงินให้ผู้ถือหุ้นส่วนหนึ่งของรายได้ของบริษัท ยิ่งคุณถือหุ้นปันผลมากเท่าไหร่ สัดส่วนเงินปันผลของคุณก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
แม้ว่าคุณจะสามารถทำเงินได้จากการขายหุ้นเติบโตที่ยอดเยี่ยม แต่ก็ไม่รับประกันผลตอบแทน ในขณะเดียวกัน หุ้นปันผลจะแทนที่รายได้ของคุณด้วยการจ่ายเงินคืนให้คุณในรูปแบบของเงินปันผล ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการยอมรับความเสี่ยงของคุณ
6. การลงทุนทางเลือก
โดยปกติ การลงทุนทางเลือกคือการลงทุนที่ไม่ได้อยู่ในรูปแบบดั้งเดิมอย่างหุ้น ตราสารหนี้ และสินทรัพย์เงินสด การลงทุนในงานศิลปะ ของเก่า ทองคำ และหินมีค่าล้วนถือเป็นการลงทุนทางเลือก
กาลครั้งหนึ่ง การลงทุนทางเลือกมีไว้สำหรับผู้ที่ร่ำรวย เพราะคุณต้องใช้เงินเพื่อสร้างคอลเลกชันภาพวาดหรือเครื่องประดับ
อย่างไรก็ตาม สถานภาพปัจจุบันกำลังเปลี่ยนไปเนื่องจากการพัฒนาเทคโนโลยีทางการเงิน รูปแบบการลงทุนทางเลือกก็เพิ่มมากขึ้น ตัวอย่างที่โดดเด่นคือการลงทุนในตราสารหนี้หรือ debt investment และการจัดหาเงินทุนดิจิทัลสำหรับ SME
แพลตฟอร์มการตราสารหนี้หรือ debt investment และการเงินดิจิทัลของ SME จับคู่นักลงทุนและผู้ออกตราสารหนี้ SME ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ธุรกิจ SME จะได้รับเงินทุนที่มีอัตราดอกเบี้ยที่ดี และผู้ลงทุนจะได้รับเงินคืนเป็นงวดอย่างสม่ำเสมอ
เมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนทางเลือกในรูปแบบอื่น ๆ ต้นทุนแรกเริ่มในการลงทุนในตราสารหนี้หรือ debt investment และการจัดหาเงินทุนดิจิทัลสำหรับ SME นั้นต่ำ เช่นเดียวกับตราสารหนี้และหุ้นปันผล ตราสารหนี้หรือ debt investment และการจัดหาเงินทุนดิจิทัลสำหรับ SME เป็นแหล่งรายได้แบบ passive income ที่ดี แม้ว่าจะมีความเสี่ยงเนื่องจากผู้ออกตราสาร SME สามารถผิดนัดชำระหนี้ได้ แต่แพลตฟอร์มการจัดหาเงินทุนที่น่าเชื่อถือจะดำเนินการตรวจสอบ due diligence ที่จำเป็นให้



Leave a Reply